ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังสนใจที่จะทำกิจการ “เปิดร้านขายเครื่องสำอาง” มาทางนี้เลยค่ะจะมาบอกต่อกลยุทธ์ในการจัดร้านขายเครื่องสำอางเบื้องต้น การวางตำแหน่งสินค้ายังไงให้น่ามอง และอีกมากมายที่คุณควรรู้ ตามมาดูกันเลยค่าา
1. การจัดแสงของร้าน
คุณสังเกตมั้ยคะ ว่าห้างสรรพสินค้าหลายแห่งจะมีจุดที่จอแสดงภาพโฆษณาต่าง ๆ ติดตั้งไว้ และผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาคือผิวของผู้ซื้อมีโทนสีตามการแสดงภาพที่อยู่บนจอนั้น ๆ
ร้านค้าหรือแผนกที่ขายสินค้าเกี่ยวกับความงามจึงนิยมใช้ไฟสีขาว เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นสีผิวของตัวเองที่ใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด
รวมถึงเห็นสีของเครื่องสำอางได้สมจริง เพราะถ้าหากคุณใช้ไฟสีส้มหรือสีเหลืองจะทำให้แสงหลอกตาได้
เวลาที่คุณไปร้านบิ้วตี้ช็อปในห้างสรรพสินค้าจะเห็นว่า ร้านเครื่องสำอางนั้นมีไฟที่สว่างมาก ทำให้เห็นสีสันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสีของแป้งพัฟ สีของบลัชออน และสีของลิปสติก ได้อย่างชัดเจน
ถ้าคุณเปิดร้านขายเครื่องสำอาง คุณควรนำวิธีนี้มาปรับใช้กับร้านของคุณ ในการจัดไฟควรทำให้แสงสว่างเป็นสีขาว เพื่อความดูดีของลูกค้า และใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยของพวกเขาเวลาส่องกระจก
รวมถึงทำให้สินค้าดูโดดเด่นและมีสีที่ตรงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นยังไงล่ะคะ
2. เสน่ห์ของลิปสติกที่น่าดึงดูดใจ
ลิปสติกสีสดใส มักจะตั้งวางเรียงรายบนเคาน์เตอร์บิวตี้ช็อปเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ให้มาซื้อมากขึ้น อันนี้เราเห็นด้วยกับประสบการณ์จริงเลยค่ะ เวลาไปที่ร้านขายเครื่องสำอางแล้วมองเห็นลิปสติกหลากสีวางเรียงกันอยู่ เราก็มักจะอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูหรือหยิบจับมาทดลอง คุณสาว ๆ ทั้งหลายก็เป็นเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ
การวางลิปกลอสและลิปสติกไว้ด้านหน้าของร้าน จึงเป็นวิธีที่ดีมากสำหรับคนเปิดร้านขายเครื่องสำอาง ในการแสดงให้เห็นถึงความใหม่ของสินค้า และยังดึงดูดลูกค้าสาว ๆ ให้เข้ามาเลือกชมเลือกซื้อกันได้อย่างง่ายดาย
Tips : คุณอาจปริ้นท์รูปภาพของนางแบบหรือรีวิวจากเหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์ในแบรนด์ลิปสติกมาแปะใกล้ ๆ กับชั้นโชว์ลิปสติก รวมถึงการบอกเบอร์สีที่นางแบบใช้ทา เพื่อทำให้สาว ๆ เห็นภาพมากขึ้นและกระตุ้นความอยากได้
หรือคุณอาจจะศึกษาข้อมูลว่าสาว ๆ แต่ละสีผิวต้องใช้ลิปสติกเฉดสีแบบไหนที่ทำให้ใบหน้าโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เพื่อแนะนำลูกค้าได้ค่ะ
3. เทคนิคการขายของ 3 อย่าง
จริงไหมคะ..? ที่ว่าสาว ๆ ส่วนใหญ่ที่ไปบิ้วตี้ช็อป เวลาเดินสำรวจสินค้าที่เคาน์เตอร์จะไม่หยิบของเพียงชิ้นเดียวใส่ในตะกร้า
และไม่ใช่เพียงเฉพาะผู้หญิง ที่เสียเงินให้กับเครื่องสำอาง เพราะเพศอื่น ๆ ที่เขาชอบดูแลตัวเองก็มักจะช้อปปิ้งในร้านขายเครื่องสำอางเช่นกัน เพราะในยุคสมัยนี้ที่ความเท่าเทียมต่าง ๆ ถูกยกมากล่าวถึงมากขึ้นว่า
ทุกคนมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม ทำให้คำพูดที่บอกว่า “ผู้ชายที่ดูแลตัวเองส่วนใหญ่มักจะเป็นเกย์” ควรหมดไป ถ้าคนเราถ้าอยากจะดูแลตัวเองไม่ว่าเพศไหนคุณก็เข้าร้านเครื่องสำอางได้
เพราะร้านเครื่องสำอางไม่ได้มีแค่อุปกรณ์แต่งหน้า แต่ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะมากมาย เช่น คลีนซิ่งเช็ดหน้า, โฟมล้างหน้า, Wax สำหรับเซ็ทผม และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
ที่ให้ลูกค้าทุกเพศทุกวัยมาเลือกสรร ไหนจะผู้ชายที่มาซื้อเครื่องสำอางให้แฟนของตัวเอง ยิ่งเป็นเรื่องที่น่ารักขึ้นไปอีกเนอะ
“การขายสินค้า 3 อย่าง” จึงควรเป็นเป้าหมายของพนักงานในการจูงใจให้ลูกค้าทุกเพศเข้ามาซื้อสินค้า เลขสามนี้เป็นตัวเลขที่มีใช้งานกับร้านเครื่องสำอางได้จริง เพราะมันไม่ได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาซื้อของมากเกินไปหรือใช้จ่ายมากเกินควร แต่มันสมเหตุสมผลที่จะซื้อต่างหาก
4. เรื่องของราคาผลิตภัณฑ์
เครื่องสำอาง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงที่ผู้หญิงจะต้องซื้อ และสินค้าบางอย่างยิ่งราคาสูงเท่าไหร่บางร้านก็จะทำฉลากให้เล็กลง(หรือไม่ทำเลย)
โดยทั่วไป ถ้าไม่ใส่ป้ายราคาของสินค้า ผู้คนจะไม่แน่ใจในราคาบนชั้นวางเครื่องสำอาง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องหยิบสินค้าขึ้นมาเพื่อขอให้พนักงานช่วยบอกราคา
ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาจะรู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาต้องซื้อผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น เพราะเมื่อใดที่ก็ตามที่อยากรู้ราคา แสดงว่าต้องสนใจสินค้านั้นมาก ๆ จริงไหมคะ?
โดยส่วนใหญ่แล้วตามร้านขายเครื่องสำอางที่เปิดตามชุมชนจะสต็อกของเยอะมาก นอกจากเครื่องสำอางก็จะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับความงามทั้งหมดเลย
ฉะนั้นการติด ป้ายบอกราคา เป็นเรื่องที่ดีและชัดเจนกับลูกค้า แต่กับสินค้าบางประเภท เช่น ไดร์เป่าผม, เครื่องหนีบผม มันเป็นสินค้าที่ลูกค้าจะต้องถามถึงการใช้งานและความแตกต่างในประสิทธิภาพของแต่ละอันอยู่แล้วว่าใช้อันไหนดี
คุณจึงควรมีพนักงานที่รู้ลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด คอยแนะนำลูกค้าว่าซื้ออันไหนถึงจะเหมาะกับเขา
5. การจัดเรียงสินค้าแบบปิรามิด
ยอดขายไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่มีการแสดงผลออกมาให้คุณรับรู้ความเป็นไปของร้านคุณ “การได้ขายสินค้าที่แพงกว่า” ในแต่ละครั้งที่ลูกค้าจับจ่าย ก็เป็นการชี้วัดร้านของคุณเช่นกันว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดี
เมื่อลูกค้ามองไปที่ชั้นวางสินค้า แล้วเห็นขวดเซรั่มบำรุงผิวหน้าราคาแพงวางเรียงกันสามขวด เขาจะเลือกซื้อชิ้นไหน?
ความสมดุลของรูปสามเหลี่ยมปิรามิดนี้ จึงเข้ามามีบทบาทกับการวางสินค้า เพราะมันเป็นจิตวิทยาของคน ที่เล่นกับความคิดที่ว่าสายตาคนส่วนใหญ่จะกวาดไปทางขวาและหยุดที่ตรงกลาง
ผลิตภัณฑ์ที่วางไว้สูงที่สุดจะอยู่ตรงกลาง จึงควรมีราคาที่แพงกว่าตัวอื่น อีกทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กและราคาถูกกว่าจะวางไว้ด้านข้างในจุดที่ต่ำกว่า
เพื่อให้สินค้าที่ราคาแพงดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณจึงควรนำวิธีการนี้ไปปรับใช้กับการเปิดร้านขายเครื่องสำอางของคุณในการจัดเรียงสินค้าบนชั้นวาง เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายได้มากกว่าเดิมนั่นเองค่ะ
6. การให้ลูกค้าได้ทดลอง
บริษัทเครื่องสำอางจะใช้เงินหลายล้านบาทต่อปี เพื่อแจกตัวอย่างเครื่องสำอางฟรี โดยคุณมักจะเห็นได้จากของแถมสินค้าทดลองเล็ก ๆ ที่ให้มากับสินค้าบางอย่าง (เพื่อให้คุณได้ทดลอง)
เช่น เวลาซื้อโฟมล้างหน้าแถมครีมทาหน้าขนาดทดลอง หรือคุณน่าจะเห็นเครื่องสำอางที่วางให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ตามเคาน์เตอร์บิวตี้ช็อป ซึ่งการที่ลูกค้าได้ทดลองใช้สัมผัสหรือการดมกลิ่น จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อง่ายมากขึ้น
ถ้าคุณเปิดร้านขายเครื่องสำอาง คุณควรมีสินค้าที่วางไว้สำหรับทดลอง เพื่อให้ลูกค้าทดสอบสี คุณภาพสินค้า เนื้อครีมของผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ
เพื่อตัดสินใจว่ามันเหมาะกับเขาหรือไม่ ยิ่งถ้าพนักงานในร้านของคุณแนะนำอะไรที่มีประโยชน์ และช่วยพวกเขาให้ได้เห็นคุณสมบัติที่ดีของสินค้า จะยิ่งโน้มน้าวให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อตามได้มากขึ้นค่ะ
7. การดูแลลูกค้าของพนักงาน
เวลาที่คุณไปร้านบิวตี้ช็อปหรือร้านเครื่องสำอาง ในบางครั้งพนักงานจะเข้ามาจู่โจมคุณด้วยการเดินตามแบบประกบ จ้องที่จะให้คำแนะนำจนคุณรู้สึกกดดัน
หรือจะเป็นการที่พวกเขา “เยอะ” กับคุณเกินไปประมาณว่า ถือขวดน้ำหอมพร้อมที่จะฉีดสเปรย์ให้คุณทุกเมื่อที่ทำได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนต่างหลบคนเหล่านี้ไปทางซ้ายบ้าง ไปทางขวาบ้าง
บางคนก็ชอบที่จะมีพนักงานคอยดูแล คอยสนใจและให้คำปรึกษาอยู่ตลอดเวลาของการซื้อของ
บางคนก็อยากมีความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาเดินตามจนรู้สึกอึดอัด “ถ้าอยากถามอยากรู้ เดี๋ยวฉันถามเอง” อะไรประมาณนั้น
ดังนั้น พนักงานควรสังเกตลูกค้าแต่ละคน ว่ามีพฤติกรรมแบบไหน อาจจะยืนรออยู่แล้วพูดคำว่า “สอบถามได้นะคะ” ถ้าลูกค้าไม่ถาม ก็ปล่อยให้เขาเดินดูไปเอง แต่ถ้าลูกค้าถาม พนักงานก็ต้องพร้อมเต็มที่ ที่จะให้คำตอบและคำปรึกษาที่ดีที่สุด
เพราะอย่างนี้ ถ้าคุณเปิดร้านเครื่องขายสำอางในชุมชนของคุณ คุณควรจ้างพนักงานซัก 1-2 คน ที่รู้รอบด้านเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในร้าน ในกรณีนี้ ลูกค้าแต่ละคนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
แน่นอนว่า “พนักงานที่มีใจรักในงานบริการพวกเขาไม่ชอบที่จะยืนอยู่เฉยๆแน่” อย่างไรซะพวกเขาต้องคลุกคลีและพยายามดึงดูดลูกค้าด้วยกลวิธีการขายต่าง ๆ ให้ลูกค้าซื้อของในร้านได้อย่างถูกใจที่สุด
พนักงานบางคนโน้มน้าวเก่ง ขายเก่งมาก จนสามารถเปลี่ยนตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาหรือครูสอนพิเศษด้านความงามได้เลยแหละค่ะ และอย่าลืมสอนเทคนิคจังหวะการเข้าหาลูกค้าให้กับพนักงานของคุณด้วยนะคะ
✔ สรุป
ทีนี้คุณก็พอจะรู้เคล็ดลับ ทั้งเรื่องการจัดร้านขายเครื่องสำอาง การวางสินค้าให้ขายออกไปได้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่พอให้เป็นแนวทางให้คุณนำไปใช้กับร้านบิวตี้ช็อปของตัวเองกันแล้วนะคะ
“ยิ่งเคาน์เตอร์ในร้านเครื่องสำอางสร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูดใจเท่าไหร่ คุณก็จะขายได้มากเท่านั้น”
ใครที่กำลังเปิดร้านขายเครื่องสำอางหรือกำลังจะเปิด ลองนำเทคนิคของเราไปใช้กันดูน้าาา
ที่มา : pnstoretailer.com