แม้ปัจจุบันทัศนคติในเรื่องการกีดกันทางเพศหรือ Sexism จะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังมีให้พบเห็นได้ในปัจจุบัน ในหลายองค์กร นอกเหนือจากจากจากสวัสดิการทั่วไป ที่พนักงานควรได้รับอย่างเท่าเทียมกัน เรื่องของ Sexism ก็ควรมีความเท่าเทียมกันด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ก็คงไม่มีใครอยากพบเจอกับเหตุการณ์ Sexism ในที่ทำงาน แต่หากเกิดขึ้นแล้วต้องแก้ไข ต้องรับมือให้ได้ และหากองค์กรไม่ยื่นมือเข้ามาดูแลพนักงานอย่างเต็มที่ ก็ควรเปลี่ยนไปอยู่ในองค์กรที่ดูแลพนักงานอย่างจริงใจ
การกีดกันทางเพศในที่ทำงาน แม้ว่าปัจจุบัน เราจะเห็นว่าผู้หญิงได้รับโอกาส ให้ดำรงตำแหน่งใหญ่ ๆ ในองค์กร หรือเวทีระดับโลกมากมายก็ตาม แต่พนักงานหญิงในยุโรปกว่า 60% ก็ยังคงถูกกีดกันทางเพศในที่ทำงาน ในลักษณะของการถูกกดดันให้มีข้อผูกพันในเรื่องเพศ เพื่อแลกกับงาน หรือแลกกับการได้โปรโมต เลื่อนขั้น ยังไม่รวมไปถึงการถูกแตะต้องสัมผัสอย่างไม่เหมาะสม เช่น การเข้ามาสัมผัส ลูบคลำ
การเอาตัวรอดให้ได้จาก Sexism ต้องอาศัยความรู้จากองค์กรด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อให้พนักงานสามารถรับมือได้ด้วยการกำหนดมาตรการที่เท่าเทียมกัน ดังนี้
1. ควรให้มีพนักงานแต่งกายตามอัตลักษณ์ทางเพศสภาพของบุคคลนั้น ไม่ควรกำหนดแนวปฏิบัติใด ๆ เกี่ยวกับการแต่งกายของพนักงานที่เป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่เป็นธรรมต่อพนักงานที่อัตลักษณ์เพศสภาพไม่ตรงเพศโดยกำเนิด
2. มีการจัดแบ่งพื้นที่ที่เหมาะสม ควรมีการแบ่งแยกห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิง ในจำนวนที่เพียงพอกับจำนวนของพนักงาน
3. การประกาศรับสมัครงานขององค์กร สามารถระบุคุณสมบัติเฉพาะด้านวุฒิการศึกษา หรือความสามารถเฉพาะที่สอดคล้องกับลักษณะงานได้ แต่ไม่ควรกำหนดเพศ ยกเว้นลักษณะงานจำเป็นต้องกำหนด
4. ภายในองค์กรไม่ควรมีการใช้วาจาที่เหยียดเพศ เช่น เบี่ยงเบนทางเพศ เพศที่สามผิดปกติ อีแอบ เป็นต้น หรือถ้อยคำว่าเพศหญิง เช่น ชะนี สาวแก่ เป็นต้น คำที่ไม่สมควรใช้กับเพศชาย เช่น แมงดา หน้าตัวเมีย เป็นต้น รวมไปถึงการแสดงกิริยาล้อเลียนทางเพศก็ไม่ควรทำ
5. การโปรโมตหรือเลื่อนตำแหน่งต่าง ๆ ควรส่งเสริมให้คัดสรรหาบุคคลที่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย เพศหญิง และเพศที่สามอย่างเท่าเทียมกัน
ที่มา JobsDB