สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการที่มีรายได้หลักมาจากธุรกิจของตัวเองบางครั้งอาจจะมีปัญหาในการแบ่งแยกและบริหารจัดการทางด้านการเงินระหว่างส่วนตัวกับธุรกิจจนทำให้เกิดความสับสนตามมา เรามาดูกันว่าเราจะมีการบริหารจัดการการเงินอย่างไรให้มีความลงตัวมากที่สุดและสามารถขอสินเชื่อกับทางธนาคารได้
1. ให้รายได้กับตัวเองในรูปแบบของเงินเดือน
การจัดสรรรายได้ของกิจการบางส่วนมาแบ่งให้กับตัวเองในรูปแบบของรายได้ประจำมีข้อดีคือสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในรูปแบบเดียวกับพนักงานประจำทั่วไปได้ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน เนื่องมาจากวิธีการปล่อยสินเชื่อรายย่อยทั่วไปของธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับรูปแบบรายได้ที่มีความมั่นคงแน่นอนมากกว่า แม้ว่ารายได้จะน้อยกว่าการเป็นเจ้าของกิจการแต่สถาบันการเงินจะให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องมากกว่าจำนวน การให้เงินเดือนกับตัวเองยังเป็นวิธีการแยกแยะรายได้ส่วนตัวกับรายได้ของกิจการออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้ไม่เกิดความสับสนในการจัดการบัญชี โดยเจ้าของกิจการจะต้องประเมินรายได้ขั้นต่ำที่เกิดขึ้นต่อเดือนและนำมาประเมินต่อเป็นเงินเดือนของตัวเองที่จะต้องเพียงพอต่อการใช้ชีวิต การเก็บออมและลงทุน
2. นำรายได้ของกิจการมาเป็นทรัพย์สินของตัวเอง
วิธีการแบบนี้ใช้ได้กับกิจการที่มีเจ้าของคนเดียวเบ็ดเสร็จหรือผู้ถือใหญ่เพียงรายเดียว เพราะหากเลือกใช้วิธีนี้เวลาที่ไปขอสินเชื่อบุคคลกับทางธนาคาร สถาบันการเงินจะคำนวนรายได้ของกิจการต่อเดือนจากนั้นนำมาหารเฉลี่ยด้วยสัดส่วนของหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในกิจการ ตัวอย่างเช่น นาย ก มีการถือหุ้น 97% ในกิจการที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 100 บาท สถาบันการเงินจะประเมินว่านาย ก มีรายได้ต่อเดือนที่ 97 บาท เพื่อนำไปใช้ในการประเมินเครดิตในการให้สินเชื่อ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ธนาคารจะนำมาคิดคำนวณด้วยก็คือประเภทของธุรกิจที่เจ้าของกิจการนั้นๆ ดำเนินอยู่ เช่นถ้าเป็นกิจการที่มีความเสี่ยงสูงและเป็นธุรกิจที่กำลังมีปัญหา จะมีค่าสัมประสิทธิ์ในการคำนวณเครดิตที่ลดลง
3. ใช้ทรัพย์สินของกิจการเป็นวงเงินค้ำประกัน
วิธีนี้เหมาะสมกับเจ้าของกิจการที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คนเดียวเช่นกันเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาในการนำทรัพย์สินของกิจการนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการขอสินเชื่อ โดยทรัพย์สินที่สามารถนำไปใช้ค้ำประกันกับทางธนาคารได้มีตั้งแต่สถานประกอบการ โรงงาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามการนำทรัพย์สินของกิจการนำไปใช้ขอสินเชื่อกับธนาคารอาจจะจำกัดเฉพาะสถาบันการเงินบางแห่งเท่านั้นที่มีบริการหรือสินเชื่อประเภทนี้ให้บริการ เนื่องจากอาจจะเกิดความสับสนกับสินเชื่อธุรกิจได้ วงเงินที่สามารถขอได้จึงไม่สูงมากนักและอัตราดอกเบี้ยก็จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าสินเชื่อปกติ แต่วิธีการนี้ก็จะเป็นการแยกส่วนของเงินระหว่างของธุรกิจกับเจ้าของออกจากกัน ความมั่งคั่งของเจ้าของกิจการก็คือความมั่งคั่งของธุรกิจด้วยเช่นกัน หากสามารถสร้างกิจการให้เติบโตได้ การเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงินก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างไร
ที่มา www.smethailandclub.com