ในกรณีที่ประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทมีความผิดพลาดและขาดเกินกว่า 25% จะต้องมีการเสียเงินเพิ่มจำนวน 20% ของภาษีที่ไม่ได้ถูกนำส่งให้ถูกต้อง การที่บริษัทสามารถทำประมาณการกำไรสุทธิได้อย่างแม่นยำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเงินเพิ่มที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่างสถานการณ์
บริษัทประมาณการกำไรสุทธิไว้ที่ 70,000 บาท และได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน 5,000 บาท แต่เมื่อยื่นรายการตามแบบ ภ.ง.ด.50 บริษัทมีกำไรสุทธิที่แท้จริงเป็นจำนวน 100,000 บาท ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่าประมาณการกำไรสุทธินั้นขาดเกินกว่า 25% หรือไม่
วิธีคำนวณ
การคำนวณเพื่อหาค่าที่ขาดเกินกว่าร้อยละ 25 ทำได้ดังนี้:
-
กำไรสุทธิจริง 100,000 บาท ลบด้วยประมาณการกำไรสุทธิ 70,000 บาท = ประมาณการกำไรสุทธิขาด 30,000 บาท
-
นำค่า 30,000 บาท คูณด้วย 100 และหารด้วยกำไรสุทธิจริง (100,000 บาท) จะได้ค่า 30%
จากการคำนวณนี้จะเห็นว่าประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไป 30% ซึ่งเกินกว่า 25% จึงต้องเสียเงินเพิ่มตามกฎที่กำหนดไว้
การที่บริษัทต้องเสียเงินเพิ่มนี้เป็นผลมาจากการที่ประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินมากเกินไป การหลีกเลี่ยงการเสียเงินเพิ่มที่ดีที่สุดคือการทำประมาณการที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถทำประมาณการได้อย่างแม่นยำ ก็ยังสามารถลดความเสี่ยงของการเสียเงินเพิ่มได้ด้วยการเลือกวิธีการคำนวณภาษีที่เหมาะสม
วิธีการคำนวณภาษีกรณียื่นแบบ ภ.ง.ด.51
ในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 มีวิธีการคำนวณภาษีอยู่ 2 วิธีหลัก ได้แก่:
-
คำนวณและชำระภาษีจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ต้องจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
-
คำนวณและชำระภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี สำหรับบริษัทจดทะเบียน ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
อ้างอิงข้อมูล
https://linevoom.line.me/post/1172111593546544816
https://linevoom.line.me/post/1172075379233618154