ซื้อรถในนามบริษัท

การทำธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องพาหนะอย่างรอบคอบ ไม่ว่ากิจการจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม พาหนะเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานในสำนักงาน การขนส่งสินค้า และการเดินทางเพื่องานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะซื้อพาหนะในนามบริษัทหรือบุคคล หรือแม้กระทั่งเช่า การตัดสินใจนี้ส่งผลต่อภาษีและค่าใช้จ่ายของกิจการ ดังนี้

  1. การซื้อรถในนามบริษัท
    เมื่อกิจการต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ การซื้อในนามบริษัทเพื่อใช้ในกิจการเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากช่วยลดภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อรถ แต่ต้องคำนึงถึงประเภทของรถ เช่น รถนั่งไม่เกิน 10 คน รถกระบะ หรือรถยนต์โดยสาร เพื่อให้สามารถนำมาหักภาษีขายได้หากเข้าเกณฑ์
  2. ค่าใช้จ่ายหลังจากการซื้อ
    หลังจากการซื้อรถในนามบริษัท ค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อรถสามารถนำมาคำนวณเป็นรายจ่ายหรือต้นทุนของสินทรัพย์ เพื่อคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษีได้ ค่าใช้จ่ายนี้ไม่ควรเกิน 1 ล้านบาท
  3. ค่าเสื่อมราคา
    ตามกฎหมายสามารถหักค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้นทุนเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยสามารถหักค่าเสื่อมราคาต่อปีได้สูงสุด 200,000 บาท แต่ต้องแบ่งหักเป็นค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 5 ปี
  4. ราคารถเกิน 1 ล้านบาท
     หากราคารถเกิน 1 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะต้องนำมาบวกกลับในการคำนวณภาษีนิติบุคคลประจำปีของกิจการ เนื่องจากไม่สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนเกินได้

การซื้อรถหรูในนามบริษัท

การซื้อรถเก๋งที่มีราคาสูงหรือรถหรูแล้วจดทะเบียนในนามบริษัท ตามกฎหมายสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยต้องแบ่งการหักค่าเสื่อมราคาให้เป็นรายปีและค่าใช้จ่ายต้องไม่น้อยกว่า 5 ปี หากต้องการซื้อรถเก๋งที่มีราคาเกิน 1 ล้านบาท จำเป็นต้องพิจารณาว่าจะซื้อด้วยเงินสดหรือเงินผ่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

กรณีซื้อด้วยเงินสด

หากสมมุติว่ารถมีราคา 3 ล้านบาท ในกรณีที่เลือกซื้อด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายในการหักค่าเสื่อมราคาจะเป็นปีละ 200,000 บาท และเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทจะต้องนำมาบวกกลับในรายได้ที่จะต้องเสียภาษีนิติบุคคลอีก 20% (กรณีบริษัทมีกำไรเกิน 1 ล้านบาท) ซึ่งอาจคำนวณว่าต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 400,000 บาท ดังนั้นราคารวมของรถจะเป็น 3,400,000 บาท

กรณีซื้อด้วยเงินผ่อน

หากตัดสินใจซื้อรถเก๋งเป็นเงินผ่อน จะมีสองรูปแบบการทำสัญญาที่สามารถเลือกใช้ได้ คือ แบบเช่าซื้อและแบบลิสซิ่ง ทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างในด้านกฎหมายและภาษี

  • เช่าซื้อ: บริษัทจะเป็นเจ้าของรถทันทีหลังจากที่ชำระเงินครบตามสัญญา และสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้
  • ลิสซิ่ง: บริษัทจะเช่ารถจากผู้ให้เช่า และค่าเช่าจะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวนตามที่จ่ายแต่ละปี โดยไม่มีการหักค่าเสื่อมราคา

ผ่อนแบบบอลลูน

วิธีนี้เหมาะสำหรับการซื้อรถในนามนิติบุคคลเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการหักค่าใช้จ่ายของกิจการ ข้อดีของวิธีนี้ได้แก่:

  1. ไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์ค่าเช่าครั้งแรก
  2. สามารถหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่รถมูลค่าเกิน 1 ล้านบาท การเช่าซื้อแบบบอลลูนจะช่วยให้กิจการสามารถหักค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย เนื่องจากมันจะถูกตีค่าเช่ารถมาใช้ก่อนในช่วงระยะเวลาตามสัญญา ซึ่งกิจการจะสามารถลงค่าเช่าเป็นรายจ่ายได้ตามกฎหมาย เมื่อถึงกำหนดตามสัญญา เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อรถขึ้นมาในราคาที่กำหนด หรือไม่ซื้อเลย ถ้ากิจการเลือกซื้อรถ กิจการจะสามารถนำมูลค่ารถมาหักค่าใช้จ่ายต่อได้อีก 5 ปี ผ่านทางการคำนวณค่าเสื่อมราคาไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปี
  3. มีการันตีมูลค่ารถในระยะสิ้นสุดสัญญาเช่าซื้อแบบบอลลูน เนื่องจากมูลค่ารถจะมีค่าตามที่ระบุในสัญญา

ที่มา www.accconsultingservice.com