กลยุทธ์คำนวณต้นทุนขาย ทำอย่างไรให้ได้กำไร

รู้จักต้นทุนขาย

การเข้าใจและการคำนวณต้นทุนขายเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเจริญเติบโตได้ ด้วยเหตุนี้คุณควรทำการบันทึกทุกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า เพื่อให้คุณสามารถคำนวณต้นทุนให้ถูกต้องและครบถ้วนได้ นอกจากต้นทุนของสินค้าหรือวัตถุดิบเองแล้ว คุณยังควรพิจารณาต้นทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าที่ใช้สำหรับการจัดจำหน่ายสินค้า ค่าโฆษณาและการตลาด เป็นต้น

เมื่อคุณได้รับข้อมูลเหล่านี้แล้ว คุณสามารถนำมาคำนวณต้นทุนทั้งหมดโดยรวมเพื่อหายอดรวมของต้นทุนที่ต้องใช้ในการขายสินค้าหรือบริการของคุณได้ หลังจากนั้นคุณสามารถกำหนดราคาขายโดยพิจารณากำไรที่คุณต้องการทำได้ โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดและการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นๆ อีกด้วย

การทำคำนวณต้นทุนขายและการกำหนดราคาขายที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้มากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจของคุณ

การบริหารต้นทุนและการกำหนดราคาขาย

การบริหารต้นทุนและการกำหนดราคาขายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความยั่งยืนของธุรกิจ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เช่น การขายเสื้อยืดออนไลน์ที่คุณยกตัวอย่างมานั้น เรามาดูกันว่าคุณสามารถจัดการกับต้นทุนและราคาขายอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน:

  1. วิเคราะห์ต้นทุนทั้งหมดอย่างละเอียด - รวมถึงต้นทุนการผลิต, การขนส่ง, และส่วนเสียหายหรือคุณภาพที่ต่ำกว่ามาตรฐานซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถขายได้ในราคาเต็ม

  2. ตั้งราคาขายอย่างเหมาะสม - คำนึงถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าเสียหาย ควรตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนและยังมีกำไรเหลือเพียงพอ ไม่ใช่แค่เพื่อครอบคลุมต้นทุนเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งขันได้ในตลาด

  3. ควบคุมคุณภาพสินค้า - ป้องกันปัญหาสินค้าเสียหายที่มีผลต่อต้นทุนขายโดยการเลือกผู้จัดจำหน่ายที่มีคุณภาพและตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวดก่อนส่งออกไปยังลูกค้า

  4. พัฒนากลยุทธ์การตลาด - เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของคุณ เช่น การเสนอการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์หรือส่งเสริมความยั่งยืน ซึ่งสามารถช่วยให้คุณตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งได้

  5. วิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง - ทบทวนต้นทุนและกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

วิธีคำนวณต้นทุนขายให้ไม่ขาดทุน

ต้นทุนขายไม่เพียงแต่ครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบ, ค่าแรง, และค่าใช้จ่ายในการผลิตเท่านั้น แต่ยังควรรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟ, และค่าเช่าสถานที่ด้วย. การละเลยค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจทำให้ราคาขายของคุณต่ำกว่าต้นทุนจริงนำไปสู่การขาดทุน

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนขาย

สำหรับหูฟังตัดเสียงรบกวน: สมมติว่าคุณซื้อหูฟังมาในราคา 3,000 บาท และค่าขนส่งเป็น 50 บาท, จึงมีต้นทุนรวมอยู่ที่ 3,050 บาท. ถ้าคุณต้องการกำไร 150 บาทต่อหูฟังหนึ่งคู่, คุณควรตั้งราคาขายอย่างน้อยที่ 3,200 บาท.

สูตรง่ายๆ ในการตั้งราคาขายคือ: ราคาขาย = ต้นทุนรวม + กำไรที่ต้องการ. การใช้สูตรนี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณไม่เพียงแต่ครอบคลุมต้นทุนที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำกำไรได้ด้วย

คำนวณต้นทุนขายจากค่าแรงการผลิต

เมื่อคุณเป็นผู้ผลิตสินค้าเอง, การคำนวณต้นทุนค่าแรงให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้อย่างเหมาะสมและทำกำไรได้. ค่าแรงการผลิตประกอบไปด้วยเงินเดือนของพนักงานที่คุณจ้างในการผลิตสินค้านั้นๆ ซึ่งคุณจะต้องนำเงินเดือนที่จ่ายให้กับพนักงานแบ่งออกตามจำนวนสินค้าที่ผลิตได้ในหนึ่งเดือน เพื่อหาต้นทุนการผลิตต่อชิ้น

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณจ้างพนักงานเพื่อผลิตเค้กกระป๋องด้วยเงินเดือน 5,000 บาทต่อเดือน และพนักงานสามารถผลิตได้ 1,000 ชิ้นต่อเดือน ค่าแรงการผลิตต่อชิ้นจะเป็น 5 บาท (5,000 บาท / 1,000 ชิ้น)

หากต้นทุนวัตถุดิบต่อชิ้นคือ 50 บาท และคุณต้องการกำไร 20 บาทต่อชิ้น ราคาขายที่คุณควรตั้งคือ 75 บาทต่อชิ้น

ดังนั้นสูตรในการตั้งราคาขายจะเป็น: ราคาขาย = ต้นทุนวัตถุดิบ + ค่าแรงการผลิต + กำไรที่ต้องการ

คำนวณต้นทุนขายจากค่าใช้จ่ายในการผลิต

เมื่อคำนวณต้นทุนขาย สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือค่าใช้จ่ายในการผลิตอย่างครบถ้วน ซึ่งรวมถึงค่าไฟฟ้าและค่าเช่าอาคารด้วย ไม่ใช่แค่ต้นทุนวัตถุดิบเท่านั้น.

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีร้านขายชุดนักเรียนและมีต้นทุนวัตถุดิบเช่น ค่าผ้า 3,000 บาท, ค่าจักรเย็บผ้า 1,000 บาท, และค่าด้าย 500 บาท, นอกจากนี้ยังมีค่าไฟฟ้าในการผลิตเพิ่มเติม 500 บาท, และคุณสามารถผลิตชุดนักเรียนได้ 500 ชุดต่อเดือน, การตั้งราคาขายของคุณจะต้องคำนวณจากต้นทุนรวมและค่าใช้จ่ายในการผลิตเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและยังทำกำไรได้.

สูตรที่ใช้ในการคำนวณราคาขายคือ

ราคาขาย=(ต้นทุนการผลิต + ค่าใช้จ่ายในการผลิตจำนวนสินค้าทั้งหมด)+กำไรที่ต้องการราคาขาย=(จำนวนสินค้าทั้งหมดต้นทุนการผลิต + ค่าใช้จ่ายในการผลิต​)+กำไรที่ต้องการ ตัวอย่างนี้คือ: ราคาขาย=(5,000 บาท500 ชุด)+100 บาท=110 บาทต่อชุดราคาขาย=(500 ชุด5,000 บาท​)+100 บาท=110 บาทต่อชุด

ดังนั้นคุณควรตั้งราคาขายชุดนักเรียนที่ 110 บาทต่อชุดเพื่อครอบคลุมทั้งต้นทุนและค่าใช้จ่าย และทำให้ได้กำไรตามที่ต้องการ

คำนวณราคาขายให้ได้กำไร

เมื่อคุณได้ต้นทุนการผลิตมาแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการคำนวณราคาขายเพื่อให้ได้กำไรตามที่คุณต้องการ วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถตั้งราคาขายที่ไม่เพียงพอครอบคลุมต้นทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกำไรที่คุณคาดหวังได้อีกด้วย การคำนวณราคาขายเพื่อทำกำไรนั้นไม่ซับซ้อน คุณเพียงนำต้นทุนรวมของสินค้ามาเป็นฐาน และบวกกับกำไรที่คุณต้องการในแต่ละชิ้น

ตัวอย่างเช่น

ถ้าคุณต้องการขายโต๊ะที่มีต้นทุนอยู่ที่ 1,000 บาทและต้องการกำไร 200 บาทต่อชิ้น, คุณสามารถใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้: ราคาขาย = ราคาต้นทุน + กำไรที่ต้องการ ดังนั้น, ราคาขายควรจะตั้งไว้ที่ 1,200 บาท

ข้อดีของการรู้ต้นทุนขาย

  1. การตั้งราคาที่เหมาะสม: การรู้ต้นทุนขายช่วยให้คุณสามารถตั้งราคาสินค้าได้ถูกต้อง ไม่สูงเกินไปจนทำให้ลูกค้าหนีหาย หรือต่ำเกินไปจนไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีในตลาดและยังคงความสามารถในการทำกำไร.

  2. การวางแผนและควบคุมการเงิน: การมีข้อมูลต้นทุนที่แม่นยำช่วยให้คุณวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น สามารถคาดการณ์กำไรและจัดทำงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงตัดสินใจได้ถูกต้องเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายต่างๆ.

  3. การตัดสินใจเพื่อลดต้นทุน: เมื่อคุณทราบต้นทุนขายแล้ว คุณสามารถหาวิธีลดต้นทุนเหล่านั้นได้ เช่น การหาวัตถุดิบที่ราคาถูกกว่าหรือเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น.

  4. การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของสินค้า: การรู้ต้นทุนช่วยให้คุณประเมินว่าสินค้าหรือบริการใดคุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด และหากบางอย่างไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่คาดหวัง คุณอาจตัดสินใจถอนสินค้านั้นออกจากตลาด.

  5. การเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน: การแสดงต้นทุนและการจัดการต้นทุนที่ดีสามารถช่วยให้ผู้ลงทุนและเจ้าของธุรกิจมีความมั่นใจในการบริหารจัดการทางการเงินของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่การรับการสนับสนุนทางการเงินและการลงทุนที่มากขึ้น.

 

ที่มา www.kasikornbank.com