การทำลายสินค้าชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพเป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเก็บสินค้าที่ไม่เหมาะสมในคลังสินค้า ขั้นตอนในการทำลายสินค้าชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพมีดังนี้ :
- ตรวจสอบและประเมินสภาพสินค้า
ทำการตรวจสอบสินค้าที่คาดว่าจะชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพ รวมถึงการตรวจสอบวันที่หมดอายุ ความเสียหายจากการจัดเก็บ หรือการผลิตที่ผิดพลาด
- บันทึกข้อมูลสินค้าชำรุด
ทำการบันทึกข้อมูลรายละเอียดสินค้าที่ชำรุด เช่น รหัสสินค้า ชื่อสินค้า จำนวนสินค้าที่ต้องทำลาย และสาเหตุของความเสียหาย เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดการภายใน
- ขออนุมัติจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การทำลายสินค้าชำรุดควรได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจหรือฝ่ายบริหาร เพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น
- แยกสินค้าชำรุดออกจากสินค้าดี
ทำการแยกสินค้าชำรุดออกจากสินค้าคงคลังที่ยังคงมีคุณภาพ เพื่อลดโอกาสที่สินค้าชำรุดจะถูกนำกลับมาใช้หรือขายโดยไม่ตั้งใจ
- เลือกวิธีการทำลายที่เหมาะสม
วิธีการทำลายสินค้าอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า เช่น การเผา การบด การนำไปรีไซเคิล หรือการฝังกลบ โดยต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับท้องถิ่น
- บันทึกการทำลายและจัดทำรายงาน
หลังจากทำลายสินค้าเสร็จสิ้น ควรบันทึกการทำลายและจัดทำรายงานให้ครบถ้วน เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบในอนาคต และอาจจำเป็นต้องใช้ในกระบวนการบัญชี
การทำลายสินค้าชำรุดเป็นการบริหารจัดการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเก็บสินค้าที่ไม่มีคุณภาพและช่วยให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนในกระบวนการทางบัญชี การทำลายสินค้าชำรุด เสื่อมคุณภาพ หรือล้าสมัย เพื่อตัดออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือเป็นขั้นตอนสำคัญที่กรมสรรพากรได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน ผู้ประกอบการที่ต้องการทำลายสินค้าและตัดออกจากบัญชี ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การค้าทั่วไปที่เป็นที่ยอมรับ พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ :
- การแจ้งกรมสรรพากรล่วงหน้า: ต้องแจ้งกรมสรรพากรล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ก่อนการทำลายสินค้า
- การตรวจสอบสภาพสินค้า: ต้องมีการตรวจสอบสภาพสินค้าเพื่อยืนยันว่าสินค้าชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพ
- การได้รับอนุมัติ: ต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้เป็นสินค้าเสียหาย
- การมีบุคคลร่วมสังเกตการณ์: ต้องมีบุคคลอย่างน้อย 3 คน ประกอบด้วย ฝ่ายคลังสินค้า, ฝ่ายตรวจสอบ, และฝ่ายบัญชี ในการร่วมสังเกตการณ์และลงลายมือชื่อเป็นพยานในการทำลายสินค้า
- การเชิญผู้สอบบัญชี: สามารถเชิญผู้สอบบัญชีมาร่วมเป็นพยานในการทำลายสินค้าได้
- การบันทึกบัญชี: หลักฐานการทำลายสินค้าจะต้องบันทึกไว้ในบัญชีเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตัดสินค้าออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือ
- การแจ้งสรรพากรท้องที่: ต้องมีหนังสือแจ้งสรรพากรท้องที่ล่วงหน้า 30 วันก่อนวันที่ทำลายสินค้า
- การลงลายมือชื่อ: พนักงานที่เกี่ยวข้องต้องลงลายมือชื่อเป็นพยานในการทำลายสินค้า
- การตรวจสอบและลงลายมือชื่อ: พนักงานฝ่ายคลังสินค้าที่เก็บรักษาสินค้าเสียหายจะต้องตรวจนับและลงลายมือชื่อกำกับไว้ พร้อมทั้งแจ้งให้ฝ่ายบัญชีทราบด้วย
- การไม่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สรรพากรร่วมเป็นพยาน: บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่กรมสรรพากรร่วมเป็นพยานในการทำลายสินค้า
หลักเกณฑ์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำลายสินค้าเป็นไปตามข้อกำหนดที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาทางภาษี และช่วยควบคุมสินค้าคงเหลือของบริษัทให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในโปรแกรมบัญชีบริหารสำเร็จรูป Bplus ERP มีระบบเอกสาร ใบตัดชำรุด ที่รองรับการบันทึกและการตัดสินค้าชำรุดหรือเสื่อมคุณภาพออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 79/2541
เรื่อง แนวทางปฏิบัติ กรณีการทำลายของเสีย สินค้าที่เสื่อมคุณภาพ สินค้าที่มีตำหนิสินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และเศษซาก
https://www.rd.go.th/3575.html
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 84/2542
เรื่อง แนวทางปฏิบัติ กรณีการทำลายของเสีย สินค้าที่เสื่อมคุณภาพสินค้าที่มีตำหนิ สินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และเศษซาก
https://www.rd.go.th/3570.html
การทำลายของเสียหรือสินค้าหรือเศษซากที่โดยสภาพสามารถเก็บรักษาและรอการทำลายพร้อมกันได้เมื่อมีปริมาณที่เหมาะสม บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม (3.1) และให้แจ้งการทำลายให้สรรพากรพื้นที่ หรือสรรพากรจังหวัด ในท้องที่ที่รับผิดชอบทราบล่วงหน้าเป็นเวลา 30 วันก่อนวันทำลาย ซึ่งสรรพากรพื้นที่ หรือสรรพากรจังหวัดอาจส่งเจ้าหน้าที่ไปดูการทำลายด้วยก็ได้ตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี เว้นแต่ การทำลายของเสียหรือสินค้าหรือเศษซากดังกล่าวของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานราชการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการนั้นควบคุมเกี่ยวกับการทำลายตามระเบียบ ข้อบังคับที่กำหนด บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรร่วมเป็นพยานในการทำลายก็ได้
เลขที่หนังสือ |
: กค 0706/308 |
วันที่ |
: 15 มกราคม 2551 |
เรื่อง |
: ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการทำลายสินค้า |
ข้อกฎหมาย |
: มาตรา 65 ตรี และมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ |
บริษัท ค. ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารธัญพืช โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้
1. บริษัทฯ ได้ตรวจนับสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2549 พบว่า มีสินค้าเน่าเสียจำนวนหนึ่ง และไม่สามารถนำออกขายได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ ได้ตรวจนับสินค้าคงเหลือ จึงพิจารณารายการสินค้าคงเหลือที่ชำรุดเสียหาย
2. บริษัทฯ ได้ย้ายสถานประกอบการเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 บริษัทฯ ตรวจพบว่ามีสินค้าที่อยู่ในสภาพที่ชำรุด เสียหาย และเน่าเสียอีกจำนวนหนึ่งฝ่ายโรงงานจึงเสนอให้มีการทำลายสินค้าที่ชำรุด เสียหาย และเน่าเสีย ซึ่งไม่สามารถจำหน่ายได้
บริษัทฯ จึงขอทราบว่า กรณีบริษัทฯ ทำลายสินค้าที่ชำรุด เสียหาย และเน่าเสียดังกล่าว บริษัทฯ จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และบริษัทฯ จะนำมาถือเป็นรายจ่ายได้หรือไม่ |
แนววินิจฉัย |
กรณีสินค้าเน่าเสียเสื่อมชำรุด เสื่อมคุณภาพ หรือล้าสมัย ที่โดยสภาพไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ หากบริษัทฯ ได้ทำลายสินค้าซึ่งชำรุดบกพร่องนั้นตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดแล้ว ไม่ถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าสินค้าที่ได้ทำลาย และบริษัทฯ มีสิทธิตัดต้นทุนที่เหลือเป็นรายจ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้รับอนุมัติให้ทำลายของเสียหรือสินค้าหรือเศษซากจากผู้มีอำนาจอนุมัติให้ทำลายสินค้าแล้วให้มีบุคคลอย่างน้อยประกอบด้วย ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายบัญชี ฝ่ายขาย หรือฝ่ายตรวจสอบ (ถ้ามี) ร่วมสังเกตการณ์ และลงลายมือชื่อเป็นพยานในการทำลายเพื่อใช้เป็น หลักฐานในการบันทึกบัญชี พร้อมทั้งเชิญผู้สอบบัญชีมาเป็นพยานในการทำลาย ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรร่วมเป็นพยานในการทำลายก็ได้ |
เลขตู้ |
: 71/35565 |